ตอนที่ ๑
บทสดุดี
๑(๑) ขอให้พระนเรศวร ทรงชนะข้าศึกศัตรูมีเกียรติยศเลื่องลือไปทั่วทั้งแผ่นฟ้าและแผ่นดิน มีความรุ่งเรือง ผู้คนเกรงกลัวในพระเกียรติ ไม่กล้าสู่รบด้วย ไม่กล้าปรากฏตัวออกสู้รบ ไม่กล้าอยู่สู้หน้าแสดงฤทธิ์ไปทั่วทิศ คนทั่วประเทศ คอยเคารพนบน้อมต่อพระองค์ ให้เท่าที่มีการบังรองเต็มไปด้วยฤทธิ์เดช ปราบข้าศึกโดยไม่เกรงกลัวและให้ตายเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งแผ่นดิน จนพม่าต้องแพ้กลับไป อยุธยาจะอยู่กันอย่างร่มเย็น มีความสุขความยินดี มีความสำราญไปทั่วทุกหนทุกแห่ง มีสมบัติอันเป็นเครื่องใช้ต่างๆและสมบูรณ์ด้วยเครื่องใช้อันรุ่งเรือง ทั่วทั้งแผ่นดินไม่มีความทุกข์ และเต็มไปด้วยความสุขกันทุกคนในเขตแดน พวกเสนาก็คอยเคารพนบน้อม พวกสนมฝ่ายในก็คอยรับใช้ พวกทหารและทหารม้าก็มีอาวุธทุกชนิด ให้มีพระเกียรติอันรุ่งเรื่องไปทั่วทุกแห่ง มีแต่คนยกย่องไปทั่วโลก
๒(๒) บุญของแผ่นดินไทยที่มีพระมหากษัตริย์ที่กล้าหาญเมื่อได้ยินชื่อเสียงก็ต้องเกรงกลัว มีฤทธิ์ดั่งพระรามที่เคยปราบทศกัณฑ์ให้พ่ายแพ้มาแล้ว ว่าศึกต้องแพ้แตกออกไป
๓(๓) พวกศัตรูต้องพินาศ เพราะเหมือนกับว่าพระองค์คือ พระนารายณ์ที่เพิ่งลงอวตารลงมา แม้ข้าศึกนับแสนก็ยังสู้พระองค์ไม่ได้ เมื่อเห็นฤทธิ์เดชก็ต้องพากันถอยหนี
๔(๔) เมื่อเสร็จจากเสวยราชสมบัติแล้ว ก็ทำให้แผ่นดินเกิดความร่มเย็น มีความสุขกันทั่วแผ่นดิน เมื่อความทุกข์หมดไปก็มีแต่คนยกย่องสรรเสริญ
ตอนที่ ๒
พระมหาอุปราชารับพระราชบัญชาตีกรุงศรีอยุธยา
๕(๖) ฝ่ายเมืองมอญที่มีเขตแดนอยู่ทางทิศตะวันตก เมื่อกษัตริย์หงสาวดีได้รู้ข่าวลือเลืองว่าเมืองไทยมีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ปกครองของราษฎรด้วยคุณธรรมได้สิ้นชีพแล้วมีบุตรคือ พระนเรศวรครองราชย์สมบัติแทน ก็ได้แจ้งเรื่องราว กษัตริย์แห่งหงสาวดีก็ได้สั่งแก่ทหารให้แก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า อยุธยาได้มีการผลัดเปลี่ยนกษัตริย์แม้ว่าจะออกศึกเพื่อชิงฉัตร เผื่อว่ากษัตริย์ ๒ พระองค์นั้นจะแย่งชิงราชสมบัติกันโดยไม่มีเหตุผล ควรจะยกทัพไปเยือนเพื่อเราจะได้เปรียบในการรบ แม้มีเหตุการณ์ไม่เรียบร้อยก็เป็นโอกาสที่จะยกเข้าโจมตี พวกอำมาตย์ต่างๆ ก็เห็นด้วยกับการตรัสสั่งของกษัตริย์มอญ กษัตริย์มอญจึงได้พูกับบุตรของตนชื่ออิศเรศ ผู้เป็นอุปราชา ว่าให้ยกทัพไปกับเจ้าเมืองเชียงใหม่ เป็นกองทัพประมาณ ๕ แสนคนไปเหยียบเมืองไทย เมื่อองค์อิศเรศได้ฟังก็ว่าข้าควรจะให้โหรทำนายดวงพระเคราะห์ก่อน โหรทำนายว่ามีเคราะห์อาจถึงฆาตได้ เมื่อได้ฟังคำทำนายแล้วก็ได้พูดประชดออกไปว่ากษัตริย์อยุธยามีบุตร ๒ คน ล้วนแต่เชี่ยวชาญการรบ ออกรบอย่างกล้าหาญโดยไม่ย่อท้อ ต่อสู้กับศัตรูโดยไม่ถอยไม่มีใครห้ามได้ถึงแม้พระมหาอุปราชาจะถึงคราวเคราะห์ร้ายก็อย่าออกรบ ให้เอาผ้าของผู้หญิงมาสวมเพื่อเคราะห์จะได้เบาลง โหรพูดอย่างเยาะเย้ย เมื่อพระมหาอุปราชาได้ยินก็ทำให้รู้สึกอับอายเหล่าเสนาอำมาตย์อย่างมากใบหน้าของพระมหาอุปราชาไม่มีเลือดหน้าซีด ช้ำใจอย่างมากกลัวจะมีโทษ ก็ได้ทูลลาจากบิดา แล้วก็ได้สั่งให้ทหารเตรียมทัพ จึงให้บอกเรื่องราวถึงเจ้าเมืองเชียงใหม่ในเวลานั้นให้รีบจัดกองทัพลงมาที่เมืองหงสาวดี แล้วให้หัวเมืองออกให้บอกเมืองรอบๆ บอกกษัตริย์ทุกพระองค์ให้ทั่วเขตโดยรอบๆเมืองทุกเมืองได้ทราบต่อๆกันไป ทุกเมืองต่างตกแต่งม้าด้วยความกล้าหาญอย่างมาก แล้วก็ได้ออกเดินไปยังเมืองหงสาวดีดูแล้วมากมาย แล้วเต็มไปด้วยผู้คนต่างเพศต่างภาษา แต่งกายเป็นพิเศษเมื่อข้าศึกเห็นก็ต้องหวาดเกรงในฤทธิ์เดช พระองค์เทียบกับทัพหลวงโดยตามแบบกระบวนทัพจะออกเดินทัพกันแต่เช้า แล้วก็ได้เดินไปยังพระราชวัง ด้วยใจที่มอดไหม้มีแต่ความเศร้าหมอง
๖(๗) แล้วก็ได้เดินเข้าไปยังห้องของนางจันเป็นที่รักซึ่งมีใบหน้าอันงดงาม
๗(๘) พวกสนมต่างกราบไหว้ แล้วนั่งเฝ้าอย่างสงบเสงี่ยมเพื่อรับใช้
๘(๙) แล้วก็ได้กอดนางอันเป็นที่รักมาคลอเคลีย เพราะจะต้องจากนางจันอันเป็นที่รัก เพื่อไปออกรบ
๙(๑๐) จำใจต้องจากน้องไป น้องอยู่ทางนี้อย่าเศร้าโศกเสียใจ พี่จะกลับมาให้เร็วไว
๑๔(๒๓) เมื่อสั่งพวกสนมเสร็จแล้ว พวกสนมก็นั่งต่อเนื่องกันด้วยความเคารพในคำสั่งของพระมหาอุปราชา แล้วพระมหาอุปราชาก็เสด็จไปบรรทม ใกล้เวลารุ่งสางแล้ว บนท้องฟ้ามีแสงดาวที่จางๆ แสงอาทิตย์เริ่มส่องแสงจับท้องฟ้าแสงส่องสว่างไก่ก็ขัน นกกาเหว่าก็ร้องอย่างเสียงใส พระมหาอุปราชาก็เดินไปสรงน้ำ ชำระร่างกายอยู่ไม่นาน ทรงเครื่องหอมซึ่งมีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว หอมอย่างอบอวลไปทั่ว ทรงผ้าอย่างสง่างาม ส่วนชายแครงทาบเหมือน
เถาว์วัลย์ มีแก้วรัดอย่างสวยงาม สวมเสื้ออย่างสวยงาม กำไลประดับด้วยแก้วลายมังกร เครื่องประดับคอมีไพฑูรย์ประดับอย่างสวยงาม ประดับด้วยแก้วสีแดงอ่อน สอดสร้อยพาดเฉียงไปทางซ้าย สวมมงกุฎบนศีรษะที่มียอดสั้นเหมือนกษัตริย์มอญ เลือกเป็นรูปช้างแผ่เต็มศีรษะ แสงเพชรแวววาว แหวนเป็นสีรุ้งงดงามมีแก้ว ๙ ประการประดับอยู่ เครื่องประดับสวยงามอย่างมีสง่า งามสง่าอย่างกษัตริย์ ทรงแสดงเดชอย่างผันผ่าย มือก็ถือดาบเดินออกไปอย่างสิงโตที่ออกถ้ำ แล้วก็ได้ทูลลาพระบิดา ขอลาพระบิดาไปออกรบกับศัตรูให้ไทยหมอสิ้นไป
๑๕(๒๔) เมื่อฟังคำลาของลูกที่จะลาออกศึกเหมือนที่พระองค์ได้สั่ง
๑๖(๒๕) พระบิดาทรงค่อยๆ พูดให้คำอวยพร ขอให้อยุธยาจงอย่าพ้นจากมือเราไปเลย
๑๗(๒๖) จงชนะด้วยอำนาจ ให้อยุธยาสู้ลูกไม่ได้ จงแพ้อย่างพินาศ ด้วยความเพียรของลูกให้ชนะ ๒ กษัตริย์ของสยาม
๑๘(๒๗) สงครามนั้นมีกลอุบายมากมาย ลูกอย่าหลงกลตื้นๆของมัน อย่าลืมตนเพราะในการศึกมีแต่กลอุบายที่แยบยลทั้งนั้น
๑๙(๒๘) สมัยก่อนจะมีลางบอกเหตุให้ทราบก่อน ซึ่งเป็นประโยชน์ในการศึกสงคราม เอาแต่ทหารที่มีความกล้าหาญ อย่าได้นำคนขี้ขลาดมาปะปน
๒o(๒๙) อีกอย่างต้องรู้สถานการณ์ของกองทัพศึก จิตต้องมีความรู้ในเรื่องการรบอย่างกล้าหาญ ต้องรู้เชิงการรบของค่าย อาจจะทำให้แพ้จนต้องถอยหนี
๒๑(๓๐) อีกอย่างคือ ต้องให้รางวัลกับขุนพล ที่มีความดีความอดทนในการปราบศัตรูอย่าหมดความพยายามอย่าขี้เกียจ ซึ่ง ๘ ประการนี้ย่อมเต็มไปด้วยคำจริง
๑.อย่าเป็นคนหูเบา
๒.อย่าทำอะไรตามใจตนเอง ไม่นึกถึงใจผู้อื่น
๓.รู้จักเอาใจทหารให้หึกเหิมอยู่เสมอ
๔.อย่าไว้ใจคนขี้ขลาดและคนโง่
๕.ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ
๖.รู้หลักพิชัยสงคราม การตั้งค่าย
๗.รู้จักให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่ เก่งกล้า
๘.อย่าลดความเพียรหรืออย่าเกียจคร้าน
๒๒(๓๑) จงจำคำของพ่อที่ได้สั่งสอน จงทำให้สำเร็จ จงแสดงอำนาจอย่างกษัตริย์ ขอให้มีความสำเร็จในการปราบศึกกับแดนสยาม
๒๓(๓๒) เมื่อสั่งสอนเสร็จ ทรงให้พรแก่พระมหาอุปราชา พระมหาอุปราชาก็ไหว้รับคำ แล้วลาเดินไปยังกองทัพเพื่อทรงช้าง พวกเสนาก็ได้เตรียมทัพไว้แล้ว มีทหารประมาณ ๕ แสนคน นายทหารขี่ม้าอย่างกล้าหาญ ขับช้างแก้ว พัทธกอ มารอรับริมเกย ควาญช้างก็สั่งให้ช้างนั่งพระมหาอุปราชาก็เสด็จย่างบนหลังช้าง ทรงนั่งบนหลังช้างด้วยความสง่า มีการตกแต่งด้วยเครื่องประดับสวยงาม มีดอกไม้สีขาวตกแต่ง มีแสงสีทองพุ่งเข้าตา ปักฉัตรสีขาวแสงกระจ่างตา เริ่มให้ช้างออกเดินทัพ เมื่อเริ่มเคลื่อนกระบวนทัพ เหมือนนายทหารออกเดินพร้อมธง
๒๔(๔๑) ทันใดก็ถึงประตูเมืองอยุธยา เกลื่อนกลาดเต็มไปด้วยทหาร กองทัพเริ่มหยุดเดินขบวน
๒๕(๔๒) รีบเดินผ่านประตูฝ่าพวกพลทหารเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ต่างมีความกล้าหาญซึ่งเต็มไปด้วยทางที่สูง
ตอนที่ ๓
พระมหาอุปราชากรีธาทัพเข้าเมืองกาญจนบุรี
๒๖(๕๓) ทหารเดินผ่านทางที่กว้าง มีเสียงช้าง ม้าดังมาก ดังกึกก้องไปตลอดทาง
๒๗(๕๔) เดินผ่านเจดีย์สามองค์แห่งนั้นที่เป็นเขตกั้นระหว่างไทยกับพม่า
๒๘(๕๕) นำกองทัพเข้าไปยังเมืองอยุธยา ดูแล้วมีฝุ่นควันเต็มไปทั่วฟ้า ทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้มไปทั่วทั้งท้องฟ้า
๒๙(๗๙) พระมหาอุปราชาคนเดียวรู้สึกเปล่าเปลี่ยวใจและอาย ทรงอยู่องค์เดียวทำให้รู้สึกเศร้าสร้อย มองดูดอกไม้แล้วทำให้เบิกบานใจพลางก็คิดถึงนางจันอันเป็นที่รัก
๓o(๘๗) ต้องออกจากน้องมาอยู่ในป่า เพราะจะต้องออกศึกกับศัตรูจำต้องจากน้องมา ซึ่งน้องมีชื่อเหมือนต้นไม้ ยิ่งนึกก็ยิ่งคิดถึง
๓๑(๘๘) ดอกสายหยุดจะหยุดส่งกลิ่นหอมยามสาย ถึงแม้จะสายแต่ความรักของพี่ที่มีต่อน้องไม่เคยหยุด จะกี่วันกี่คืนก็ยังคร่ำครวญคิดถึงน้อง คิดถึงทุกค่ำเช้าไปสามารถหยุดคิดถึงน้องได้
๓๔(๑๒๗) ทหารพม่ามองดูท้องฟ้าที่มืดครึ้มพลางก็เดินเต็มไปด้วยหมู่ม้าและหมู่ช้าง ทวนที่มีสีสุกใสส่องแสงกระทบเข้าตา ส่วนธงก็โบกสะบัดดูเด่นไปทั่วท้องฟ้า
๓๕(๑๒๘)ฝ่ายเมืองกาญจนบุรีได้งัดขุนพลให้ไปอยู่ตามด่านต่างๆ เพื่อไปดูเหตุการณ์ต่างๆ ในเขตของพม่า เราก็พากันรีบไป เดินผ่านไปทางดงป่า เดินตรงไปตามลำน้ำกษัตริย์ จัดเป็นกลุ่มเป็นกองมองดูเหตุการณ์ต่างๆ มองดูทหารพม่า เดินกันเต็มเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งป่าเดินไปทั่วทิศ หวังจะเป็นข้าศึกเมืองอยุธยาอย่างชัดเจนเห็นฉัตรปักอยู่ ๕ ชั้น กั้นอยู่บนหลังช้าง เขาก็มาเขาก็ทราบเหตุการณ์โดยประมาณว่ามีพระมหาอุปราชาเป็นแม่ทัพ แล้วรีบมาบอกแก่เจ้าเมืองนรกาญจนบุรี เมื่อรู้เรื่องราวของข้าศึก แปลกที่ทำลายขวัญให้แหลก ทำให้กลางใจสั่นระริก ร้าวในอกของเจ้าเมือง ทำให้ราษฎรรู้สึกเคืองใจ รู้ตลอดไปจนถึงไพร่ พวกราษฎรก็ต่างตำหนิ กลัวจนฝันหนีดีฝ่อ ทำให้รู้สึกหน้าซีด คงไม่เห็นการรบ คงจะต่อต้านให้ยาก ถ้าต่อสู้คงจะไม่รอด คิดจะอพยพครอบครัว พากันหนีหน้าและทิ้งบ้านเอง บ้านเมืองว่างคน ชวนกันไปซุกซ่อนตามป่าตามดง แอบแฝงไปดูให้รู้เหตุผล มองดูท่วงทีของข้าศึกเพื่อดูลักษณะแล้วสั่งให้เจ้าเมืองรู้
๔๒(๑๓๕) ใจก็ห่วงคิดถึงนางอันเป็นที่รัก มองดูแสงจันทร์บนฟ้า แสงจันทร์ส่องไม่ถึงนางอันเป็นที่รัก ไม่มีความเศร้า คิดถึงนางและยังไม่ลืมหน้านาง
๔๓(๑๔๐) ทรงกล้ำกลืนความทุกข์เกือบไม่ไหว ขับช้างไปจนใกล้ค่ำจนไปตำบลจนไปตำบลพนมทวนเหตุการณ์น่าจะหนักเมื่อมีคนเห็น
๔๔(๑๔๑) ได้เกิดหมอกควันขึ้นเต็มท้องฟ้า มีลมเสริมมาพัดปกคลุมอยู่ ได้พัดมาทำให้แตรหักช้างคอขาด และฝุ่นผงปัดปลิวไปทั่ว
๔๕(๑๔๒) เมื่อพลันเห็นเหตุการณ์ก็ทำให้พระมหาอุปราชาเสียวหัวใจเหมือนกับภูเขาตกลงมา พระอุปราชาตกใจจนหน้าซีด ท่านหนักใจจึงเรียกให้โหรมาทำนาย
๔๖(๑๔๓) ท่านทั้งหลายจบด้วยไสยศาสตร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทูลพระมหาอุปราชาก็กลัวโทษ จึงทูลเรื่องดีและกลบเกลื่อนไม่ยอมบอกเหตุร้าย
๔๗(๑๔๔) เหตุนี้ถ้าเกิดขึ้นช่วงเช้าจะเกิดทุกข์ แต่มันเกิดตอนเย็นไม่เป็นไรหรอก อย่างหมองใจ อย่าลำบากใจไปเลย พระองค์จะสามารถกำจัดศัตรูชาวสยามได้แน่
๔๘(๑๔๗) เมื่อได้ฟังก็ทรงฟังหูไว้หู หูหนึ่งก็แคลงใจกับคำทำนาย จะไว้ใจกษัตริย์ได้อย่างไร อีกหูหนึ่งก็กลัวจะแพ้สงคราม
๔๙(๑๕๐) ในใจรู้สึกหวาดกลัว จะไม่มีใครคลายความวิตก ความเศร้าสร้อยได้บ้าง พอนึกถึงพระบิดาก็ยิ่งทำให้คิดถึงและเศร้ามากขึ้นอีก
๕o(๑๕๑) จอมจักรพรรดิผู้ที่เต็มไปด้วยเกียรติ หากเสียพระโอรสให้กับการศึกจะเจ็บใจเป็นทุกข์ใหญ่หลวงแค่ไหนก็เหมือนแขนที่ถูกตัดขาดให้อยู่ไกลตัว
๕๑(๑๕๒) พระนเรศวรผู้เป็นข้าศึกศัตรู จะมีใครออกต่อสู้ออกรบด้วยได้ น่าเสียดายที่แผ่นดินพม่าจะต้องสิ้นดับลงเพราะเหตุไม่มีผู้ใดต้านทานได้
๕๒(๑๕๓) น่าสงสารพระมหาอุปราชาผู้เป็นใหญ่ ที่จะต้องเปลี่ยวใจยิ่งนัก ซึ่งมีอายุมากแล้วจะต้องครองแผ่นดินกลัวว่าพระมหาอุปราชาจะเสียทีในการศึกสงคราม
๕๓(๑๕๔) สงครามครั้งนี้ทำให้เจ็บใจยิ่งนัก พระบิดาต้องหนาวเหน็บต้องแคลงใจอยู่คนเดียว ถ้าลูกตายใครจะเก็บศพไปให้บิดา ลูกตายไปใครจะเผา
๕๔(๑๕๕) ในพระนครมีพระบิดาอยู่เพียงองค์เดียว ไม่มีใครอยู่เป็นคู่ ร้อนจนเริ่มการศึกให้ลุล่วงได้แล้ว พระองค์รู้สึกหมองใจและคับข้องใจแค้นใจมาก
๕๕(๑๕๖) พระคุณของพระเจ้าแผ่นดินเปรียบเทียบเท่ากับผืนดิน แต่เราเป็นคนอยู่เบื้องล่าง เมื่อเกิดชีวิตใหม่เกรงว่าลูกจะกลับมาไม่ทันตอบแทน
๕๖(๑๕๗) เมื่อนั้นเจ้าเมืองทุกเมือง ทุกเวลาในประเทศ สิงห์บุรี สรรค์บุรี สุพรรณบุรี เขาได้พาครอบครัวไปซ่อนกันตามป่าตามดง แล้วก็ได้เขียนสารส่งมาถึงมือเจ้าเมืองให้มาทูลบอกกับพระนเรศวร
ตอนที่ ๔
สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการตีเมืองเขมร
๕๗(๑๕๙) เมื่อพระนเรศวรได้ขึ้นครองราชย์อยุธยาแล้ว ก็มีอำนาจเหมือนพระรามออกศึกครั้งใดก็ชนะครั้งนั้น
๕๘(๑๖๐) พระนเรศวรได้เสด็จมายังท้องพระโรง และได้ขึ้นนั่งบทพระที่นั่ง พวกเหล่าเสนาต่างกราบไหว้กันอย่างเนืองแน่น พระองค์ทรงยิ้มแล้วแล้วก็ได้พูดขึ้นมาปราศรัยกับขุนนาง
๕๙(๑๖๑) ทรงถามถึงทุกข์สุขของประชาชน ประชาชนต่างสนองพระคุณอย่างดียิ่ง พระองค์ทรงตัดสินคดีอย่างชอบธรรม ทำให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข
๖o(๑๖๒) พระนเรศวรทรงพูดถึงเรื่องสงคราม ซึ่งชมเมืองกัมพูชาที่อยู่ไกลว่า ทหารที่ยกมาล้วนมีความอดทนนับวันดิถีเป็นวันยกทัพ
๖๑(๑๖๓) ทหารทางน้ำได้เกณฑ์ทหารไปทางใต้ ไปตีเมืองพุทธไธมาศ ที่เมืองบาสักให้เสร็จแล้วรีบล้อมเมืองหลวงของขอม
๖๒(๑๖๔) พระองค์ทรงห่วงแต่ข้าศึกที่อยู่ทางทิศตะวันตกเกรงว่าจะก่อสงครามจนล่วงล้ำเข้ามาในแผ่นดิน ใครจะควบคุมปกป้องเมืองได้ อาจจะรักษากรุงเอาไว้ไม่ได้
ภายใน ๑ คือ
๖๓(๑๖๕) พระองค์ทรงนึกทรงวิเคราะห์ว่าใครบ้างที่เป็นผู้ภักดีก็มีพระยาจักรีที่กล้าหาญ และสั่งให้พระยาจักรีดูแลเมือง เพราะพระองค์จะเดินทางออกจากกรุงศรีอยุธยาในคืนนี้
๖๔(๑๖๖) เมื่อตะวันตกดินจงดูแลรักษาเมืองไว้ให้ดี รักษาสมบัติให้ดี ช่วยกันปกป้องนครให้ดี กูจะกลับมาปกป้องแผ่นดินไทย
๖๕(๑๖๗) สงครามจะพ่ายแพ้เสียที แตกเมื่อต้นปีที่แล้วจะกลับมาครอบครองอีกครั้งหนึ่งก็อาจจะมีขึ้นอีกในปีหน้าก็ได้
๖๖(๑๖๘) ทั้งหลายก็ฟังคำสั่งของพระองค์ เหล่าขุนนางยังไม่ทันได้ตอบรับคำสั่งทูตจากเมืองกาญจนบุรีก็นำสารมาถึงพอดี พระยาอมาตย์ก็เข้าเฝ้าและทูลเรื่องทุกข์เข็ญ
๖๗(๑๗๐) พระองค์ทรงปลาบปลื้มใจยิ่งนัก ซึ่งเจ้าเมืองกาญได้ทูลเรื่องการศึกให้ทราบ
๖๘(๑๗๑)พระองค์กลับทรงยินดีที่ได้รับข่าวศึก จึงให้พระเอกาทศรถเข้าเฝ้าเพื่อแจ้งข่าวให้ทราบ
|