Smile ตอนที่ ๕ Smile 

สมเด็จพระนเรศวรทรงสั่งการรับศึกมอญ 

 

            ๖๙(๑๗๒) แล้วได้สั่งให้จัดเตรียมทัพ เพื่อจะไปทำสงครามในกัมพูชา รบกับพม่าเพื่อป้องกันพระนคร สั่งให้เดินปทางทิศตะวันตก ควรจะนำทัพไปรบให้เป็นทัพที่ยิ่งใหญ่ โดยแย่งชิงชัยชนะก่อน แล้วก็ได้พูดออกเป็นกฎประกาศให้กับเมืองราชบุรี ให้เตรียมทหารจำนวน ๕๐๐ คน ให้ไปซ่อน เพื่อดูข้าศึกที่เดินผ่านลำน้ำกระเพินโดยใช้สะพาน ให้เลือกทหารที่มีความกล้าหาญ แล้วให้รีบออกเดินทางโดยทันที ตัดเชือกให้เป็นท่อน ให้ขาดลอยเป็นทุ่นแล้วก่อไฟเผา อย่าให้พวกมอญจับได้ เขาก็ได้ทำตามคำสั่งที่พระนครได้สั่ง 

            ๗o(๑๗๓) เมื่อพระนเรศวรสั่งเสร็จทันใดทูลทุกเมืองทุกประเทศทั้งสิงห์บุรี  สรรค์บุรี และสุพรรณบุรี เขาก็ได้นำเรื่องไปกราบทูล 

            ๗๑(๑๗๔) บอกว่าพระนเรศวรสั่งให้อ่านสาร พระราชก็ได้รับคำสั่งของพระองค์บอกให้ทุกเมืองทราบว่า ตอนนี้มีข่าวว่ามีข้าศึกตั้งอยู่ในเมืองแล้ว 

            ๗๒(๑๗๕) เมื่อมอญได้ขับมาเร็วไปยังวิเศษชัยชาญเพื่อบอกข่าว เขาได้นำข้อความมาบอก เมื่อเห็นสารจากที่เคยสดชื่นก็กลับชอกช้ำ 

            ๗๓(๑๗๖) พระนเรศวรไม่กล้าสู้ ทำให้ดีใจที่ไม่มีศัตรูแล้ว ซึ่ง ๒ กษัตริย์พี่น้องได้พูดกัน ต้องทำลายศัตรูให้หมดสิ้นไป 

            ๗๔(๑๗๗) พระนเรศวรได้พูดปรึกษากับอำมาตย์ทุกคนจะต้องออกรบกับพม่าจะตั้งรับในถิ่นของเราหรือ 

            ๗๕(๑๗๘) อำมาตย์ทั้งหลายก็พูดออกมาพร้อมกันบอกแก่พระองค์แล้วได้พูดออกมาเพื่อแนะนำให้พระองค์นำการรบออกไปให้ไกลจากพระนคร 

            ๗๖(๑๘๐) พระองค์ได้รับฟังคำทูลที่ถูกใจพระองค์ทรงพูดว่าเจ้าก็คิดเหมือนกับที่เราคิดจะพูดต่างกัน แต่เพื่อรักษาน้ำใจ 

            ๗๗(๑๘๑) พระนเรศวรได้สั่งให้เตรียมทหารประมาณ ๕ หมื่นคนตามรายชื่อให้เตรียมทหารในชั้นเมืองจัตวาประมาณ ๒๓ เมืองหรือเตรียมไว้เป็นทัพหน้า 

            ๗๘(๑๘๒) ทรงให้จัดหาผู้กล้า คือ พระศรีไสยณรงค์ ผู้มีฤทธิ์เป็นหัวหน้าทัพนำหมู่กองทัพออกไปรบ 

            ๗๙(๑๘๓) พระองค์ทรงเห็นว่าไม่มีขุนพลเป็นเพื่อนในการออกรบ จึงให้         พระราชฤทธานนท์ไปเป็นปลัดทัพเพื่อออกศึกด้วยกัน ๒ คน 

            ๘o(๑๘๔) กองหน้าได้ตั้งทัพหน้าเสร็จ ให้ออกไปสู่รบอย่างกล้าหาญ ไม่มีใครที่จะต้านทานได้กูจะออกตามไปรบในภายหลัง 

            ๘๑(๑๘๕) ทั้ง ๒ ได้รับคำและทูลลา เพื่อยกทัพอันยิ่งใหญ่ไปออกรบ โดยทางไปมามีความลำบาก ก็ได้ถึงตำบลหนองสาหร่ายที่เป็นทุ่งกว้างมีทางเดิน 

            ๘๒(๑๘๖) กองทัพได้สร้างค่ายกลางสนามรบ เป็นกองทัพที่ใหญ่โต เหล่าเสนาและทหารต่างมีความสุข คอยตั้งรบศึกอย่างไม่รอช้า

  

 

 


 

 Smile ตอนที่ ๖ Smile  



ศุภนิมิต

 

            ๘๓(๑๘๗) พระนเรศวรได้สั่งให้โหรทำนายหาฤกษ์ยามที่จะออกเดินทัพ จึงให้โหรผู้เชี่ยวชาญ คือหลวงญาณโยคโลกทีป รีบทำนาย แล้วทูลแก่พระนเรศวรว่าจะได้รับโชค ๔ ประการ อาจจะปราบข้าศึกศัตรูได้ เชิญพระองค์ทรงออกเสด็จจากอยุธยาในตอนเช้า จนตะวันตกดินในวันขึ้น ๑๑ ค่ำ ตอนเวลา ๒ โมงเช้า ๓๐ นาที ในดิถีเดือนยี่จะมีฤกษ์ดีมาก พระนเรศวรทรงรับฟัง แล้วสั่งให้ตรวจกองทัพเตรียมผม โดยทหารทางน้ำสู่ตำบลปากโมก เมื่อถึงวันที่ฤกษ์ดีก็ได้ตรวจกองทัพ ซึ่งทุกหมู่ก็ได้เตรียมทัพเสร็จแล้ว พระนเรศวรกับพระเอกาทศรถก็ทรงสรงน้ำอย่างกลิ่นหอม กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว ทรงวิภูษาและวัดผ้าอย่างน่ามอง ชายแครงห้อยอย่างสุกใส ชายไหวห้อยอย่างน่าดู ดูสนับเพลาอย่างสง่างาม เสื้ออย่างดีทับทรวงดูสวยงาม สายสะเอวทางด้วยไพฑูรย์ มีสร้อยข้อมือ แสงนพรัตน์ดูสุกใส แหวนสีรุ้ง มีแก้วเก้าประการงามเลิศแพรวพราวด้วยนิ้ว ๘ นิ้ว ทั้งสองกษัตริย์ทรงสวมมงกุฎที่ตกแต่งแล้ว แสงแวววาว ประกอบด้วยแก้วเก้าประการ ในมือถือธนู ดูสองกษัตริย์แล้วเหมือนพระลักษณ์กับพระรามที่จะปราบข้าศึกพลางพระองค์ทรงออกเดิน

            ๘๔(๑๙๗) เมื่อพอถึงฤกษ์ยามดี ทุกอย่างก็พร้อมโหรก็ตีฆ้องชัยอย่างเสียงดังกึกก้อง แล้วก็ร่ายมนต์ตามคัมภีร์ไสยศาสตร์ มีการเป่าสังข์ มีเสียงแตรประสานกับเสียงฆ้อง

            ๘๕(๒๐๐)พลันก็ขยายกองทัพเดินเข้าประตูป่า พระสงฆ์ก็สวดบทชัยมงคลอาถาเพื่ออวยพร แล้วก็ได้พรมน้ำมนต์ตามตำราพิชัยสงคราม ก็ได้โบกธงเคลื่อนทัพมองดูสายน้ำที่มากมาย มองดูสระน้ำที่มากมายน้ำเต็มขอบมองแล้วน่ากลัว เป็นลำธารที่ยิ่งใหญ่ ทันใดก็ถึงตำบลปากโมก พระองค์ทรงหยุดพักแล้วได้เข้าไปในที่พัก พลางก็ให้ทหารตรวจกองทัพโดยยกทัพทางบก  บอกแผนกำหนดการแก่ขุนพลและแม่ทัพว่าจะยกทัพไปและล่วงค่ำไปแล้ว ตอน ๕ ทุ่ม ๒๐ นาที เมื่อถึงฤกษ์ดี พระนเรศวรก็ทรงสั่งการว่าเราจะไปทำศึกกับศัตรูพร้อมด้วยเหล่าทหารขุนนางและแม่ทัพ จนพระจันทร์เริ่มหายไป พอถึงยาม ๓ พระนเรศวรก็ทรงบรรทม เหนื่อยอาสน์ที่สุกใส เมื่อประมาณ ๑๐ ทุ่ม พระองค์ก็ทรงหลับฝัน

            ๘๖(๒๐๑) เทวดาได้แสดงให้เห็นเหตุ ซึ่งเป็นกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวจากที่สูงไปทางทิศตะวันตก พระองค์ได้แต่มองดูสายน้ำที่เอ่อล้นสายธาร

            ๘๗(๒๐๒)พระองค์ทรงก้าวเท้าลงไปในน้ำ ได้เดินฝ่าน้ำที่ไหลเชี่ยว แล้วได้พบกับจระเข้ตัวหนึ่งใหญ่โตมากได้เข้าสู้รบกับช้างของพระองค์ แล้วจะกัดพระองค์

            ๘๘(๒๐๓) พระองค์ทรงได้ดาบแก้วที่อยู่ในมือ แล้วฟาดฟันอย่างแหลกลาญ  ต่างก็สู้รบหวังจะเอาชีวิตซึ่งกันและกันทำให้พื้นน้ำในถ้ำสะเอน

            ๘๙(๒๐๔)พระนเรศวรทรงกระโดดเข้าต่อสู้ในน้ำ จนทำให้จระเข้ตัวนั้นได้ตายในน้ำก็เต็มไปด้วยเลือด แต่เลือดก็ได้เหือดหายหมดไป พระองค์ดีใจมากที่ทรงปราบข้าศึกได้

            o(๒๐๕) ทันใดนั้นพระองค์ก็ทรงตกใจตื่นจากฝันพระองค์ทรงให้โหรทำนายพลางก็บอกฝันพลางก็รีบให้ทำนายตามคำถามของพระองค์

            ๙๑(๒๐๖) โหรก็เห็นฝันนั้นอย่างชัดเจน แล้วก็ได้ถวายคำทำนายแก่พระนเรศวร ความฝันของพระองค์นั้นเป็นความฝันของพระอาทิตย์ซึ่งเทวดาก็บอกให้รู้เป็นเชิงกล

            ๙๒(๒๐๗) น้ำที่ต่อเนืองนองไปเต็มป่านั้นคือ ทางดานทิศตะวันตกจะเกิดน้ำท่วม คือทัพของฝ่ายมอญนั่นเองซึ่งฝันของพระองค์ก็มีลักษณะดังกล่าว พระองค์อย่าทรงสงสัยเลย

            ๙๓(๒๐๘) เหตุที่แสดงให้เห็นภัยคือน้ำแห่งพระมหาอุปราชาผู้พี่ สงครามครั้งนี้จึงใหญ่หลวงยิ่งนัก แท้จริงแล้วจะสู้กันด้วยการชนช้าง

            ๙๔(๒๐๙) สู้รบกันด้วยอำนาจผู้ซึ่งมีอำนาจที่จะชนะศึกทางน้ำ คือ ผู้ที่ไม่ตายเพราะมือที่ถือของมีคม

            ๙๕(๒๑๐) ส่วนด้านสายน้ำ พระองค์จะต้องไล่ทำลายข้าศึก ข้าศึกไม่รู้ฤทธิ์ของพระนเรศวร พระองค์จะได้รับชัยชนะตามความฝัน

            ๙๖(๒๑๑) เมื่อพระองค์ได้ฟังคำทำนาย ก็รู้สึกจิตใจที่หมดจดและเต็มไปด้วยความสุข

            ๙๗(๒๑๒) พระองค์ทรงดีใจมาก เพราะได้ฟังคำทำนายของโหร

            ๙๘(๒๑๓) พระองค์ทรงแต่งกายงามยิ่งนัก ทุกแห่งทั่วโลกต้องชื่นชม

            ๙๙(๒๑๔) ส่วนพระบาทเอกาทศรถก็ทรงเสื้อผ้าอย่างงามน่ามองยิ่งนัก

            oo(๒๑๕) ทั้งสองกษัตริย์ทรงเดินไปยังพระรายานของหอทัพควาญช้างได้ให้ช้างนั่งลง ซึ่งมีทหารผู้กล้าเต็มไปหมด ดูใหญ่และกลาดเกลื่อน มากมายเต็มไปด้วยขบวนทัพกษัตริย์ทั้งสองพระองค์คอยดาวฤกษ์ของการรบ ประเดี๋ยวพระองค์ก็จะเห็นพระบรมสารีริกธาตุ ที่ส่องแสงอย่างงามที่โชติช่วงรุ่งเรือง  สว่างสดใสเหมือนส้มเกลี้ยงที่ลอยอยู่เต็มฟ้าฝ่ายใต้ได้หันหน้าเป็นวงกลมตรงทัพ พูดคำง่ารบสามครั้งแล้วให้เวียนขวาแล้วบินอยู่บนท้องฟ้า ผ่านไปทางทิศเหนือ พลางพระองค์ก็ตั้งคำสรรเสริญ

            o(๒๑๘) พระองค์ทรงมีความสุขแล้วก็พนมมือไหว้ ช้างของพระองค์ก็ทรงออกฤทธิ์ซึ่งจะมีชื่อว่าไชยานุภาพ ซึ่งอาจจะเข่นฆ่าข้าศึกให้พ่ายแพ้กลับไป

             o(๒๑๙) ส่วนช้างปราบไตรจักรของพระเอกาทศรถก็เต็มไปด้วยฤทธิ์ ก็อาจปราบข้าศึกได้ทั่วทุกทิศ พระเอกาทศรถก็ไปนำช้างถวายแก่พระนเรศวร

 

 

 

 Smile ตอนที่ ๗ Smile  

ยุทธนาการของพระมหาอุปราชา

 

            o๓ (๒๒๘) ฝ่ายกองตระเวนของมอญ ได้รับคำสั่งจากขุนศึกให้เอาม้าลาดไปฟังข่าวข้าศึก ให้ไปดูทัพฝ่ายอยุธยาเพื่อจะออกรบและจะออกต้านทานศึก และให้เอาข่าวมาถึงแม้จะไม่ครบถ้วนก็ตามจะเข้าไปประชิดเมือง จึงให้สมิงอะควานหัวหน้ากองทัพ สมิงเป่อปลัดทัพและสมิงชายม่าน ทั้ง ๓ คนให้นำพวกทหารม้า ๕๐๐ คน ไปดูทัพไทยที่เดินทัพอยู่ แล้วให้รอรับมืออยู่รอบค่าย ริมขอบหนองสาหร่าย คอยดูกองหน้า กองหลวงดูให้ทั่วเสร็จแล้วให้รีบไปบอกแก่พระมหาอุปราชา เมื่อพระองค์ได้ฟังก็ทราบลักษณะโดยประมาณว่า พระนเรศวรกับพระเอกาทศรถได้ยกทัพมาเพื่อต้านทานศึก แล้วพระองค์ทรงถาม สามสมิงนายกองม้าว่าดูแล้วมีทหารประมาณเท่าไหร่ได้ ก็ได้ถามซ้ำจนสมิงทั้งสามตอบว่า ทหารทั้งหมดประมาณ 1 แสน ๒ หมื่น ถึง ๑ แสน แปดหมื่นได้ดูเต็มไปทั่วท้องทุ่ง เมื่อพระมหาอุปราชาได้ฟังก็ได้สั่งให้ขุนพลขุนกองว่า สองกษัตริย์ผู้กล้าออกมารอรับเป็นทัพใหญ่ เขามีทหารมากกว่าเรา เรามีมากกว่าเขาหลายส่วน เราต้องรีบจู่โจมระดมทัพเอาแต่แรก ตีให้แตกย่อยยับเขามีกำลังน้อยต้องรีบเร่งเข้าล้อมกรุงเทพเพื่อชิงเอาฉัตรก็แล้วก็น่าจะได้เพียงอย่างไม่ลำบาก แล้วก็ได้สั่งให้ขุนพลให้เตรียมทัพทุกทัพ ให้เสร็จในเวลา ๓ ยาม ตี ๕ จะยกทัพไปสว่างเอาข้างหน้า รีบจัดทัพเข้าอย่าช้า รุ่งเช้าเราจะเข้าโจมตี

            o๔(๒๒๙) ไพล่พลทุกคนก็รับคำ ต่างเร่งตรวจเตรียมทัพ พลทหารต่างมีความกล้าหาญอย่างแรงกล้า คอยออกรบกับข้าศึกชาวไทย

            o๕(๒๓๐) เมื่อถึงตี ๕ แล้ว องค์มหาอุปราชาได้ทรงสรงน้ำในลำธารอย่างชื่นใจได้ลูบไล้น้ำหอมที่มีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว

            ๑๐๖(๒๓๘) พระมหาอุปราชาก็เดินไปยังพระราชยานขี่ช้างชื่อพัทธกอที่มีความกล้าหาญไม่รู้จักเข็ดรู้จักกลัว มันตกมันจึงเดินอย่างช้าๆ

            ๑๐๗(๒๖๗) ส่วนพระยาไสยณรงค์ สองแม่ทัพได้ควบคุมทัพไปกับพระราชฤทธานนท์ ทราบความต่อเนื่องแล้วต้องสั่งให้ยกทัพทหารออกโจมตีข้าศึก ตั้งแต่เริ่มเดินพล ให้รีบเตรียมทัพสัก ๕ หมื่นโดยมีพระยาศรีขี่ช้าง ชื่อมาตงค์ ขับช้างสุรงอเดชะอยู่เมืองสิงหะปีกขวา ส่วนออกสรรค์ปีกซ้ายให้นายทหารทุกคนขี่ช้าง ส่วนขุนผู้ให้อยู่ทัพหลังกับหมู่ทหารขี่ช้างเป็นพาหนะท่านชนะจำบัง คอยปกปีกกองขวา พระยาวิเศษชัยชาญผู้กล้าหาญอยู่ทิศเหนือ เจ้านครชัยนาทให้อยู่ทัพหน้าเพื่อจะได้โถมเข้ารบให้พระยาสุพรรณเคลื่อนทัพ ปีกซ้ายคือเมืองธน ทัพปีกขวา คือ เมืองนนท์ เตรียมทหาร ๙ กอง จัดทหารที่อาสา มีเหล่าอาวุธครบมือถือกันอย่างกวัดแกว่งมีหอก ดาบ ปืน และสาว มีความกล้าหาญเป็นอย่างมากรีบเดินไปตามแนวเป็นลำดับ ทันใดก็ถึงโคกเผาเข้าในตอนสายๆ ประมาณ ๗ โมง ก็พบกับทัพมอญและเจอหน้ากับทัพพม่าก็ได้เข้าวิ่งแทงกันแล้วใช้หอกฟาดฟันทั้งสองฝ่ายก็สู้โดยไม่ถอย ปิดเสียงดังเพื่อเอาฤกษ์โห่ดังเพื่อเอาชัยชนะแล้วก็ได้ยิงปืนไฟเข้าใส่กัน แสดงปืนที่มีฤทธิ์อย่างวุ่นวายได้พุ่งหอกใหญ่กันอย่างเคว้งคว้าง ข้างนอกอย่างไปมาไล่สู้รบกันอย่างลำบาก ใช้ดาบฟันกันอย่างมีเสียงดัง ใช้ดาบด้ามยาวฟันกันอย่างรวดเร็ว ต้อนให้ปีกใช้เรียงเป็นหน้ากระดาน ปีกขวาดันขึ้นไปให้แยกกันออกรบ แข่งกันออกรุมรบรู้สึกโดยไม่ถอย ให้รู้สึกไปเรื่อยๆ อาจเข้าไปรุก อาจจะหักหาญกำลังในการรบ กล้าที่จะชิงตัดกันเอาเพื่อตัดศรก็ยิงสู้กัน ปืนก็ยิงต้านกันก็ยิ่งโต้ตอบกัน โล่ก็ปิดกันเพื่อป้องกันอันตรายจากอาวุธ ดั้งก็วางติดต่อกัน เขนก็ต้องชิดกัน ดาวคู่ก็สู้กับดาบอู่ หอกก็จ่อกับหอก ง้าวก็อ้าง้าวคอยรบกัน ทวนไปปะทะกับทวน รบก็อย่างเซ็งแซ่ ต่างก็ไม่เกรงกลัว รบก็ตัวต่อตัวเพื่อหวังฆ่ากัน  ช้างก็ชนกับช้าง คนก็รบกับคน ง้าวก็ปะทะกัน บ้างก็ฟันบ้างก็ป้องปัด วางปืนไม้บนหลังช้าง มีเสียงดังกึกก้อง ต่างคนต่างเร็วเพื่อชิงเอาชัย เพื่อชิงเอาชนะ ม้าไทยปะทะม้ามอญ ต่างก็เข้ารบเข้ารุมกัน ทวนก็พุ่งเข้าแทงเข้าปะทะกัน หากก็รอรับกับหอก หลอกล่อกันอย่างสับสนยิงธนูต้านไว้ กล้าต่อกล้าพอกัน คนที่ชำนาญก็พบกัน แรงต่อแรงหักกัน แข็งต่อแข็งหักกันด้วยฤทธิ์ต่างก็เอามาฟาดฟันกันทุกคนล้วนมีฝีมือ ล้วนสามารถต้านทานได้ ทำลายกันอย่างเต็มแผ่นดิน รบกันอย่างเต็มแรง แบ่งกันตายกันมาก นอนตายเกลื่อนกลาดไปเต็มท้องทุ่ง นอนตายก็เต็มผืนป่า ที่ยังไม่ตายก็ไม่ยอมตายลดลง ต่างก็รบกันอย่างกล้าหาญ ต่างต่อมือกันอย่างกล้าหาญ ยังมีผู้หนุนมาอีกมาก กองหนุนเรียงเป็นหน้ากระดานอย่างเกลื่อนกลาด ไม่รู้จักกลัว ต่างก็ชิงกันที่จะฆ่าจะหั่นกัน และคอยที่จะฟันจะตัดกันผลัดกันยิง ผลัดกันพุ่งผลัดกันแทง รบก็ยังไม่แตกแยกก็รบไปยังไม่ฟังทั้งหมู่หน้า หมู่หลังก็ขับก็รบ เข้าต่อสู้เข้าจู่โจมกัน โหมเข้าต่อสู้ด้วยการรบ ต่างล้มทับกันอย่างเกลื่อนกลาด ล้มทับกันอย่างระเนระนาด บาคนก็หัวขาด บางคนก็แขนขาด ต่างก็ไม่เข็ดไม่กลัว ไม่ยั่นไม่เกรงมอญทั้งหลายต่างเข้ามาโอบล้อม ล้อมประชิดสองข้างทั้งหน้าและหลัง ไทยรวมกันเข้ารบแต่มีกำลังน้อยกว่า ถ้าแผ่ออกรบก็กลัวจะไม่รอด ไทยไม่ย่อท้อจะรอรับ ส่วนมอญก็เริ่มยกทัพขยับเข้ามา มีไพร่พอเป็นจำนวนมาก เสียงปืนดังอย่างเร้าใจ อย่างสนุกสนาน

            ๑๐๘(๒๖๘) น่ากลัวเช่นฟ้าผ่า เหมือนยักษ์ผ่านแผ่นดินทำให้ทุกแห่งพังทลาย

            ๑๐๙(๒๖๙) ดังไปทั่วโลก ไม่มีใครแพ้ ผู้ชนะนี้น่าประหลาด

            ๑๑o(๒๗๐) ทั้งสองฝ่ายต่างยังกล้าหาญ คือ ฝ่ายหนึ่งสู้ฝ่ายหนึ่งกล้า ต่อสู้กันอย่างกล้าหาญในสนามรบ

 

 

 

 

 

 Smile ตอนที่ ๘ Smile   

 กลศึกของสมเด็จพระนเรศวร

 

            ๑๑๑(๒๗๑) กษัตริย์ทั้งสองได้เรียกทหารผู้มีความกล้ารวมอยู่มากมาย พระอาทิตย์ใกล้จะตก ไพร่พลต่างเคารพต่อพระองค์แล้วทูลว่า

            ๑๑๒(๒๗๒) เชิญพระองค์ทรงเสด็จเดินไปยังสนามถวายมุทธาภิสิทขารโดยพร้อมเพรียงกัน เทวดาต่างบรรสานสรงน้ำเป็นมหรทึกครึกเครงอย่างสนั่นหวั่นไหว

            ๑๑๓(๒๗๗) ฝ่ายพราหมณ์ราชปริโสดม เป็นผู้มีความรู้เปิดประตูโขลนทวาร โดยแบบเป็นพิธีบวงสรวง เทวดาและเจ้าป่าบวงสรวงผีสาง พลางก็ส่งแสงอำนาจแก่หลวงมหาวิชัยผู้มีใจที่กล้าหาญ เดินไปตัดไม้ข่มนายตามตำราไสยศาสตร์เมื่อพระนเรศวรได้ยินเสียงปืนของทัพในการออกรบสุดเขตที่จะได้ยินชัดเจน ได้รับสั่งให้หมื่นทัพเสนารีบนั่งม้าไปดูเหตุการณ์เขาก็รับคำสั่งแล้วขึ้นม้าไป ควบม้าไปอย่างรวดเร็วก็ถึงที่ไพร่พลของทัพ ถามพลางก็ถอยพลาง ซึ่งมีมอญพม่าตามติดมา เข้าใกล้ไล่กันอย่างวุ่นวาย สู้กันอย่างวุ่นวาย ผ่านท้องนาเรียงหน้าเป็นกระดาษมาเป็นทาง ดูเหมือนเดินมาไม่รู้กี่พวกกี่เหล่า เอาทหารชั้นขุนหมื่นหนึ่งคนซึ่งอยู่ในกองทัพ ขับมานำมาเฝ้าพระนเรศวรก็ถามก็ถามขุนพลว่า เหตุใดจึงพ่ายเขา ก็ทูลตอบกลับไปว่า พลไพร่ทั้งหลายได้หมดไปในการศึก ตรงท้ายตำบลโคกเผาข้าว  พอถึงเวลาก็ได้ปะทะกับข้าศึกศัตรู เข้ารบ เข้ารุก คลุกคลีกันอย่างหนาแน่น พวกศัตรูมันมีมาก มากขึ้นทุกครั้งไม่ทันตั้งตัวไม่ยอมหยุด เหลือแต่การรบที่มีเรื่อยไปเมื่อพระองค์ได้ยินเช่นนั้นก็รับสั่งปรึกษาอย่างเป็นชั้นเชิงอย่างกลอุบาย กับขุนนางทุกคน อำมาตย์ทุกคน ให้ทุกคนออกความคิดใครเห็นว่าอย่างไรบ้าง จะฆ่าให้ตายด้วยกลอุบายใด งานท่านช่วยอย่าปกปิดเราตอบรับคำถาม สงครามครั้งนี้หนักหนา เชิญพระองค์ทรงไปพัก แต่งทัพไปถ่วงต้านทานศึกไว้ให้ได้รอก่อนไว้สักครั้ง พอได้ทีจึงจะเดินทัพออกรบ เห็นว่าน่ามีชัย พระองค์ก็ทรงตอบเหล่าเสนา คิดเรื่องดูให้ดี ฝ่ายเรากำลังแม้ย่อยยับเราจะส่งทัพไปตามงาน จะไม่ให้แม้ทั้งสองครั้ง ค้ำไว้ให้อยู่อย่าหยุด ทางที่ถูกน่าจะถอยร่นเรื่อยๆ อย่ารั้งรออยู่ ให้ทัพต้องพลาดพลั้งเสียเชิง โดยใจร่าเริง เดินตามมาติดผิดทัพ เราควรแยกทัพออกรบ เข้าหักหาญการรบคงจะชนะศึกได้อย่างง่าย เขาได้ฟังก็รู้สึกชอบ แล้วทำความเคารพแด่พระนเรศวร ให้หมื่นทิพเสนากับหมื่นราชามาตย์ให้รีบไปเตือนกองหน้าให้เร่งรีบอย่ารอช้า ไพร่พลทั้งหมดก็รับคำสั่ง

            ๑๑๔(๒๗๘) ไม่นานทุกคนต่างก็ออกไปรบ ไปอย่างไม่รอช้าเดินเคลื่อนทัพออก

            ๑๑๕(๒๗๙) หันไปดูข้างหลังวิ่งกันอย่างพลุกพล่าน ไม่มีใครอยู่ต่อต้าน ไม่มีใครอยู่สู้รบเลยสักคน

            ๑๑๖(๒๘๐)พวกทหารของทัพมอญ เห็นไทยถอยร่นไปอย่างไม่รอช้าก็ต้อนทัพเอาไว้

            ๑๑๗(๒๘๑) เริ่มเห็นกลอุบายอย่างชัดแจ้ง เล่ห์กลของไทยมีมากไม่ใช่น้อย ต่างก็รีบติดตามรีบเดินตามอย่างตื่นๆ

            ๑๑๘(๒๘๒) ดูข้างหลังมีอยู่อีกจำนวนมาก ไม่เป็นขบวนทัพแล้วคิดว่านายแพ้แล้ว จริงๆไล่กันอย่างยากลำบาก

            ๑๑๙(๒๘๓) หมายให้มอญดีใจ ทำให้เริ่มประมาณลดเล่ห์กลลวงให้พม่าหน้าชื่นตาบาน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




 


 

 

 

Advertising Zone    Close

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...